วันอังคารที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

เหมา เจ๋อ ตุง



ชาติกำเนิด
เหมา เจ๋อ ตุง เกิดเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2436 ถึงแก่อนิจกรรมเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2519ที่เมือง Shaoshancong, in Xiangtan, Hunan Province

ประธานเหมาเจ๋อตุงได้ชื่อว่า
- ป็นผู้ก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีน กองทัพปลดแอกประชาชน และสาธารณรัฐประชาชนจีน
- ได้ชื่อว่าเป็นผู้นำที่ชาญฉลาด ผู้นำที่น่ายกย่องสรรเสริญและเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ที่เป็นที่รักที่สุดของชาวจีน
- เป็นปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ของชนกรรมาชีพสากล ของชาติและประชาชนผู้ถูกกดขี่

ประวัติและผลงาน
ท่านประธานเหมาเป็นผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีนต่อสู้อย่างทรหด จนสามารถขยายตัวออกไปได้อย่างกว้างขวาง ทำให้พรรคคอมมิวนิสต์จีน พัฒนาขยายตัว สร้างความแข็งแกร่งมั่นคงให้กับการต่อสู้ของชนชั้น และก้าวไปตามเส้นทางที่ทุกข์ทรมาณ จนบรรลุสู่ความเป็นพรรคเนื้อแท้ของลัทธิมาร์ค-เลนิน ที่ยิ่งใหญ่และอลังการ ดังนั้นจึงได้รับการเรียกขานว่า "สถาปนิกระดับปรมาจารย์ในการสร้างประเทศให้ทันสมัย" นอกจากนั้นท่านประธานเหมาเจ๋อตุงยังเป็นกวีนิพนธ์ผู้ยิ่งใหญ่ ผลงานที่ท่านรจนาขึ้น ได้รับความนิยมจากผู้ที่รู้หนังสือโดยถ้วนทั่วทุกตัวคน ท่านประธานเหมาเป็นบุตรชายของชาวนายากไร้ เมื่ออายุ 8 ขวบได้รับการศึกษาจากโรงเรียนประถมในหมู่บ้าน และได้รับการสอนตามหลักของลัทธิขงจื้อยุคโบราณ ต่อมาได้รับการศึกษาตามระบบที่โรงเรียนตามรูปแบบที่ฉางชา อันเป็นโรงเรียนสมัยใหม่แห่งแรกในมณฑลหูหนาน และจบการศึกษาที่โรงเรียนนี้เมื่อปีพ.ศ.2461 จากนั้นก็เข้ามาศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยปักกิ่ง อันเป็นสถานศึกษาชั้นนำของจีน ระหว่างนั้นก็ทำงานในห้องสมุดของมหาวิทยาลัยไปด้วย ในหน้าที่ผู้ช่วยบรรณารักษ์ ที่มหาวิทยาลัยปักกิ่งเป็นผู้นำศึกษารณรงค์ต่อต้านพวกขุนศึกของมณฑลหูหนาน ในฐานะที่เป็นตัวแทนจากมณฑลหูหนาน เหมาเจ๋อตุง ได้รับสิทธิร่วมกับตัวแทนอื่นๆอีก13 คนให้เข้าร่วมประชุมในสภาแห่งชาติของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ในช่วงฤดูร้อนปี พ.ศ.2464 ซึ่งจัดขึ้นที่เซี่ยงไฮ้ การประชุมครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นการก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีนในช่วงการทำสงครามปฏิวัติครั้งแรกระหว่างปี2467-2470 ระหว่างเวลานั้นนอกจากทำหน้าที่บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ "โพลิติคคอล วีคลี่"ที่กวางเจาให้แก่พรรคก๊กมินตั๋งหรือพรรคชาตินิยมแล้ว เหมาเจ๋อตุงยังทำงานให้กับสถาบันอบรมขบวนการชาวนาอีกด้วย โดยทำหน้าที่ประธานหลักสูตรการฝึกอบรมระดับ 6ด้วย และในปี พ.ศ.2467 เหมาเจ๋อตุงเป็นแกนนำในการหยุดงานประท้วงของคนงานเหมืองแร่ที่อันหยวน เหมาเจ๋อตุงค่อยๆเพาะเชื้อการปฏิวัติให้แพร่กระจายออกไปเรื่อยๆ ด้วยการเขียนหนังสือเรื่อง "พลังปฏิวัติเบ่งบานออกมาจากปากกระบอกปืน" จากนั้นก็นำประชาชนลุกฮือขึ้นต่อต้านรัฐบาล ในปีพ.ศ.2471 มีการก่อตั้งกองทัพแดงกรรมกรและชาวนาขึ้นเป็นครั้งแรก และมีการก่อตั้งฐานงานปฏิวัติเขตขึ้นเป็นจุดแรกที เทือกเขา จิ้งกังชาน และเริ่มนำวิธีการทำสงครามปฏิวัติแนวใหม่มาใช้ ที่เรียกว่า"ป่าล้อมเมือง"ด้วยกลยุทธดังกล่าวทำให้เหมาเจ๋อตุงสามารถเอาชนะเจียงไคเช็คได้สำเร็จ และสามารถกุมอำนาจรัฐได้โดยเด็ดขาด เหมาเจ๋อตุงและสหายจูเต๋อ ได้รับความสำเร็จอย่างดียิ่งในการพัฒนากลยุทธสงครามกองโจรจากฐานการปฏิบัติงานเขตที่เทือกเขาจิ้งกังชาน ในเดือนพฤศจิกายน 2474 เหมาเจ๋อตุงประกาศตั้งสาธารณรัฐจีนโซเวียดขึ้นบริเวณตะวันออกเฉียงใต้ของมณฑลชานสีติดต่อกับตะวันตกเฉียงใต้ของมณฑลฟูเจี้ยน โดยมีเหมาเจ๋อตุงเป็นประธาน เหมาเจ๋อตุงนำทัพ เข้าทำลายการปิดล้อมเพื่อกวาดล้างของฝ่ายรัฐบาล 4 ครั้ง เพื่อถอนตัวออกจากวงล้อม ในช่วงที่อพยพทางไกลที่เรียกว่า"ลองมาร์ช" ที่เริ่มขึ้นเมื่อเดือนตุลาคม 2477นั้นเหมาเจ๋อตุงได้รับตำแหน่งผู้บัญชาการกองทัพแดงคืน และสามารถนำกองทัพแดงรอดหนีรอดจากการกวาดล้างไปได้ และสามารถนำพลมาถึงภาคเหนือของมณฑลมณฑลชานสีได้สำเร็จในฤดูหนาวปี 2478 ในช่วงปี พ.ศ.2479 ถึง 2483 เหมาเจ๋อตุงทุ่มเทเวลาให้กับการทบทวนเกตุการณ์ในอดีต และเขียนหนังสือ นอกจากนั้นยังศึกษา ตำรับตำราทางวิชาการ และด้านปรัชญา ของโซเวียตฉบับแปลเป็นภาษาจีน แล้วนำความรู้เหล่านั้นมาดัดแปลง เขียนขึ้นใหม่ตามแนวทางของตนเอง นอกจากนั้นยังเขียนหนังสือขึ้นเอง โดยอาศัยความรู้ และประสบการณ์และวิสัยทัศน์ของตนเองเพื่อเป็นแหล่งข้อมูล งานนิพนธ์ที่มีชื่อเสียงได้แก่เรื่อง"ปัญหาในการทำสงครามปฏิวัติของจีน"ที่เขียนขึ้นเมื่อเดือนธันวาคมปี พ.ศ.2479 เป็นการรวบรวมบทเรียนที่ได้รับจากการสู้รบของกองทัพแดงบรรยายถึงวิธีการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น อีกเล่มหนึ่งได้แก่เรื่องการขยายสงครามออกเป็นวงกว้างซึ่งเขี ยนขึ้นในปี พ.ศ.2481 ซึ่งบรรยายถึงกลยุทธในการสู้รบกับกองทัพญี่ปุ่น ในช่วงสงครามโลกเหมาเจ๋อตุง เป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ และเป็นผู้บัญชาทหารที่มีความสามารถ สามารถเอาชนะกองทัพญี่ปุ่นได้ และสามารถกวาดล้างกองทัพกำลังพล 8 ล้านคนจนหมดสิ้นไปจากแผ่นดินจีนได้แม้ว่าจะได้รับความช่วยเหลือทางอาวุธอัฃนทันสมัยจากสหรัฐก็ตาม และในวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ.2492 เหมาเจ๋อตุงก็สามารถก้าวขึ้นสู่ยกพื้นสูงที่จตุรัสเทียนอันเหมินกลางกรุงปักกิ่ง ในฐานะประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีน ในฐานะ ประธานประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน และในฐานะประธานของตำแหน่งสูงสุดทุกตำแหน่งที่มีในประเทศจีนได้สำเร็จ และประกาศให้โลกรู้ถึงการก่อตั้งประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนขึ้น ในเดือนธันวาคมพ.ศ.2492 เหมาเจ๋อตุง ก็เดินทางไปยังมอสโคว์ เพื่อพบสตาลินผู้นำโซเวียดรัสเซีย มีการลงนามในสนธิสัญญาความร่วมมือช่วยเหลือกันและกัน รวมทั้งความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจจากโซเวียตในวันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2498 เหมาเจ๋อตุง ได้แสดงสุนทรพจน์ครั้งสำคัญ เร่งรัดให้มีการจัดตั้งสหกรณ์การเกษตรขึ้น และในช่วงฤดูหนาวปีพ.ศ2498 คาบเกี่ยวกับปีพ.ศ.2499ได้เขียนหนังสือขึ้นสามเล่มรวบรวมเรื่องราวของการกระเพื่อมขึ้นของลัทธิสังคมนิยม ในชนบทจีนหนังสือดังกล่าวจะฉายภาพให้เห็นคุณประโยชน์ของการจัดตั้งสังคมร่วมพลังอย่างรวดเร็ว ในฤดูใบไม้ผลิปี 2499 เหมาเจ๋อตุงประกาศนโยบาย ซึ่งหมายถึงการให้อิสระภาพในการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง และแสดงความชื่นชมต่อปัญญาชนและผู้ชำนัญพิเศษว่าเป็นกลุ่มคนที่ขาดไม่ได้ในการพัฒนาเศรษฐกิจของชาติ เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2500ได้แสดงสุนทรพจน์เรื่อง"วิธีการที่ถูกต้องในการโต้แย้งในความเห็นของประชาชน"และในฤดูร้อนปี พ.ศ.2501 เหมาเจ๋อตุงก็สามารถตั้งคอมมูนขึ้นทั่วดินแดนอันกว้างใหญ่ของจีนได้สำเร็จ เหมาเจ๋อตุงรับตำแหน่งประธานสาธารณรัฐประชาชนจีนมาจนถึงปี พศ.2512 ก็สละตำแหน่งให้แก่ หลิว ส้าว ฉี ในปีพ.ศ.2505 เหมาเจ๋อตุง แสดงสุนพรพจน์ต่อประชาชนจีนเตือนไม่ให้ลืมเรื่องราวการต่อสู้ระหว่างชนชั้น ต่อมาในปีดูใบไม้ผลิปีพ.ศ. 2506 เหมาเจ๋อตุงได้เริ่มการรณรงค์ เรื่องการศึกษาระบอบสังคมนิยม เพื่อให้ชาวจีนยึดมั่นในหลักการไม่ให้มี"การเปลี่ยนสี" หรือกลายเป็น "นักลัทธิแก้"(revisionist) เหมือนกับสหภาพโซเวียต การปฏิวัติวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นแม้ว่าต้องการทำตามเจตนารมณ์ของเหมาเจ๋อตุงแต่ก็มีการตีความผิดในทางปฏิบัติซึ่งเจตนารมณ์ที่แท้จริงนั้นเพียงต้องการที่กำจัดกลุ่มนายทุนและกลุ่มลัทธิแก้ภายในพรรคเท่านั้น แต่ก็บานปลายกลายเป็นเหตุจลาจลทั่วประเทศและสร้างความหายนะทางเศรษฐกิจอย่างกว้างขวางมีการต่อสู้แย่งชิงอำนาจกันในกลุ่ม"เร็ดการ์ด"และกลุ่มหัวรุนแรงด้วยกัน ทำให้เกิดความไม่สงบขึ้น ่ต่อมาเหมาเจ๋อตุงได้มีบัญชาให้กองทัพปลดแอกประชาชนเข้ารักษาความสงบภายในชาติ และในปี พ.ศ.2514 ประธานเหมาได้ระแคระคายว่าหลิน เปียวกับพวก เตรียมก่อการปฏิวติซ้อน ด้วยการลอบสังหารตน จึงทำการกวาดล้าง และหลินเปียว หลบหนีไปโซเวียตทางเครื่องบิน จนเกิดอุบัติเหตุเครื่องบินตกเสียชีวิตระหว่างทาง ในบั้นปลายชีวิตท่านประธานเหมาได้เปิดประตูรับการสถาปนาความสัมพันธ์ฉันทปกติกับสหรัฐ ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2515 ก็ได้พบกับประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสันที่เดินทางมาเยือนจีน ที่ปักกิ่ง นับจากนั้นเหมาเจ๋อตุงก็ได้ต้อนรับผู้นำชาติต่างๆทั่วโลกที่เดินทางมาเยือนไม่ขาดสาย ที่สำคัญได้แก่ - นายทานากะ คาคูเออิ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น - ประธานาธิบดี ปอมปิดูแห่งฝรั่งเศส นากยรัฐมนตรีอังกฤษ - ประธานาธิบดีสเตราส์แห่งเยอรมันนี - ประธานาธิบดีมูบารักแห่งอียิปต์เมื่อ ครั้งที่ดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดี - นายอาลีบุตโตนายกรัฐมนตรีปากีสถาน เป็นต้น

ชีวิตส่วนตัว
มีภรรยา 3 คนดังนี้
1. นางหยาง ไคอุย เสียชีวิตในการทำสงครามเพื่อชาติในปีพ.ศ.2464
2.นาง เอ ชิเจิ้น ดำรงตำแหน่งนายพลแห่งกองทัพแดง
3 .เชียง ชิง ผู้นำการปฏิวัติซ้อน ฆ่าตัวตายเมื่อปี 2534 บุตร/ธิดาของเหมาเจ๋อตุงมี5 คนดังนี้ 1. นาย เหมา อันยิง บุตรชายคนโต 2. นายเหมา อันชิง บุตรชายคนรอง 3.นายเหมา อันลอง บุตรชายคนเล็ก
4.หลี่ หมิน บุตรสาว
5. หลี่ นา บุตรสาว




วันพฤหัสบดีที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2552

LoMo


ประวัติกล้องโลโม่
เดิมทีกล้องโลโม่ออกแบบมาเพื่อใช้ในหน่วยงานสายลับของกองทัพรัสเซีย โดย LOMO ย่อมาจาก Leningrad Optical Machinery Organization ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่ผลิตเลนส์เพื่อใช้ในโครงการอวกาศของกิจการกองทัพและผลิตเลนส์ที่ใช้ในกล้องโทรทัศน์ จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2526 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงและอุตสาหกรรมของสหภาพโซเวียตในขณะนั้น มีคำสั่งให้หน่วยงาน LOMO ผลิตกล้องเลียนแบบกล้องคอมแพคท์ของญี่ปุ่นขึ้นมาให้เร็วที่สุด ถูกที่สุดและมากที่สุด เพื่อแจกจ่ายให้พลเมืองรัสเซียทุกคนได้รู้จักการถ่ายรูป โดยมีคำขวัญว่า "คอมมิวนิสต์อันทรงเกียรติทุกคนควรมีกล้อง Lomo Kompakt Automat LC-A เป็นของตัวเอง" โดยผู้ผลิตกล้อง Lomo Kompakt Automat LC-A คือ Michail Aronowitsch Radionov อดีตสายลับ KGB[1]ต่อมาเมื่อในปี พ.ศ. 2534 Matthias Fiegl และ Wolfgang Stranzinger หนึ่งในผู้บริหารบริษัท Lomographische AG เดินทางไปท่องเที่ยวที่เมืองปราก สาธารณรัฐเช็ก แต่ลืมนำกล้องถ่ายรูปไปด้วย จึงไปซื้อและได้รู้จักกับกล้อง Lomo Kompakt Automat โดยบังเอิญ และหลังจากได้ถ่ายและล้างรูปจากร้านล้างรูปธรรมดาในซุเปอร์มาร์เก็ต[1] ผลออกมา พบว่าภาพถ่ายมีสีสันจัดจ้านดูผิดเพี้ยน แต่มีความสวยงามจนทำให้พวกเขาได้หลงใหลกับภาพที่ปรากฏขึ้นและในปี 2535 Fiegl และเพื่อนได้จัดตั้งบริษัท Lomographische AG ที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย หลังจากนั้นไม่นานกระแสความนิยมในโลโม่กระจายไปทั่วโลก ภายใต้แนวความคิดว่า "Lomography is an analog lifestyle product"โลโมกราฟีเน้นการถ่ายภาพจากระดับเอว การใช้สีจัดเกิน สิ่งปนเปื้อนบนเลนส์ และจุดตำหนิอย่างจงใจ เพื่อสร้างความรู้สึกเป็นศิลปะ เป็นนามธรรม เหล่านี้เป็นสิ่งที่นักถ่ายภาพโลโมกราฟีนิยมชมชอบ. ด้วยขนาดที่เล็ก ทำให้กล้องโลโมเป็นที่นิยมสำหรับการพกพา และใช้บันทึกภาพในชีวิตประจำวัน. นอกจากนี้ ความสามารถในการถ่ายในที่ ๆ มีแสงน้อยได้ ทำให้มันเป็นที่นิยมสำหรับการภาพทีเผลอ (แคนดิด) การรายงานด้วยภาพ และภาพเหตุการณ์จริง (photo verit?, คำว่า verit? เป็นภาษาฝรั่งเศสแปลว่า ความจริง)คติของโลโมกราฟีคือ "ไม่ต้องคิด ถ่ายไปเลย" ("don't think, just shoot")

กฎ 10 ข้อ ของโลโมกราฟี
1. พกกล้องโลโมของคุณไปทุกที่ 2. ใช้มันตอนไหนก็ได้ - ทั้งกลางวันและกลางคืน 3. โลโมกราฟีไม่ใช่สิ่งสอดแทรก, แต่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคุณ 4. ถ่ายจากเอว 5. เข้าใกล้วัตถุที่คุณต้องการความโลโม ให้ใกล้ที่สุดเท่าที่จะทำได้ 6. ไม่ต้องคิด 7. ทำให้เร็ว 8. คุณไม่จำเป็นต้องรู้ล่วงหน้าว่าคุณจะถ่ายได้อะไรในฟิล์ม 9. และคุณก็ไม่จำเป็นต้องรู้หลังจากถ่าย เช่นกัน 10. ไม่ต้องห่วงเรื่องกฏหรอก

วันอังคารที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2552

วินเทจ


สำหรับ "วินเทจ" ความหมายในแง่แฟชั่นจะหมายถึง "ของเก่า" หรือ "ของที่ทำให้ดูเก่า" ค่ะ ที่เราเห็นกันอยู่บ่อย ๆ ก็จะเป็นพวกของมือสอง หรือถ้าจะให้เป็นวินเทจแบบของแท้แน่นอนก็จะต้องเป็นสมบัติของพ่อแม่(หรือแม้แต่ของเพื่อน 555+) ที่เรานำกลับมาใช้ มาใส่ใหม่ได้เรื่อยๆตามช่วงเทรนด์ในแต่ละยุค บางคนก็ไม่สนใจยุค เป็นความชอบส่วนบุคคลค่ะ
ลองนึกถึงภาพของหญิงสาวในยุค 60’s ดูสิคะ... สาว ๆ สมัยนั้นเค้าใส่เดรสสั้นทรงเอไลน์ มีปกเสื้อใหญ่ ๆ อาจจะมีคอร์เซ็ต(เข็มขัดเส้นใหญ่ ๆ)คาดด้วยก็ได้นะคะ นี่เป็นแค่ตัวอย่างเดียว ยังมีเสื้อผ้าสไตล์วินเทจแพทเทรินเก๋ ๆ อีกมากมายให้เราเลือกใส่กันค่ะ


แต่เดี๋ยวนี้เท่าที่พี่เหมี่ยวเห็น ส่วนใหญ่เสื้อผ้า ข้าวของ เครื่องประดับที่เราเห็นที่เค้าบอกว่าสไตล์วินเทจ มักจะเป็น "เฟควินเทจ" หรือจะพูดง่าย ๆ ก็คือทำแพทเทรินสไตล์เก่า แต่ผ้าใหม่เท่านั้นเองล่ะค่ะ
เอาเถอะค่ะ ไม่ว่าจะเป็น "วินเทจ" หรือ "เฟควินเทจ" พี่เหมี่ยวว่าก็มีเสน่ห์ไปคนละแบบเหมือนกันนะคะ แต่อย่างนึงที่มีเหมือนกันคือ "ความเรียบง่าย" ที่ดูทีไรก็ไม่เบื่อซักที แถมแฟชั่นนี้ยังตอบรับกระแสอนุรักษ์ทรัพยากรโลกด้วย(ก็เราไม่ต้องซื้อใหม่ไงคะ เอาของคุณยายคุณแม่มาใช้บ้าง ของเพื่อนบ้าง เห็นไหมละค่ะ ไม่ต้องเสียเงินซื้อใหม่ แล้วยังไม่ต้องใช้ทรัพยากรธรรมชาตในการผลิตเสื้อผ้าอีกด้วย) นอกจากนี้เรายังสามารถส่วมใส่ได้หลายโอกาส ไม่ว่าจะเป็นในวันธรรมดา หรือวันที่เราต้องออกงานในโอกาสพิเศษ

ส่วนเรื่องเครื่องประดับที่จะมามิกซ์แอนด์แมตช์กับเสื้อผ้าสไตล์วินเทจ ก็จะเป็นพวกเครื่องประดับทองเหลืองทั้งหลายซึ่งเดี๋ยวนี้ก็มีทั้งที่เป็นทองเหลืองแท้ ๆ (ซึ่งก็จะมีราคาสูงซักหน่อย) และที่เป็นทองเหลืองที่ชุบขึ้นมาใหม่ค่ะ และกระเป๋าก็สไตล์กระเป๋าหนังทั้งแบบสะพายเฉียงและสะพายข้างค่ะ
ในวันธรรมดาสาว ๆ อาจจะเลือกใส่เชิร์ตตัวโคร่ง พับแขน คู่กับยีนส์ขาเดฟหรือเลกกิ้ง แล้วก็คาดเข็มขัด หรือคอร์เซ็ต ซักเส้นทับเสื้อเชิร์ต และเพิ่มความโมเดิร์นแบบเท่ห์ ๆ ด้วยแว่นเรย์แบรนกับรองเท้าผ้าใบหรือคัชชูหนังส้นเตี้ย แค่นี้ก็ออกไปข้างนอกได้แบบชิลล์ ๆ แล้วล่ะค่ะ

และเมื่อเราจะต้องออกงาน เราก็สามารถเลือกใส่เดรส(จะเป็นเดรสยาวหรือสั้นก็ได้นะคะ)ทรงเอก็สวยดีนะคะ แต่ถ้าสาวคนไหนไม่ค่อยมั่นใจกับเดรสทรงเอ ลองใช้เข็มขัดเส้นเล็กๆ มาช่วยเน้นสัดส่วน ให้ดูมีส่วนเว้าโค้งก็ได้ค่ะ หรือจะเลือกใส่กระโปรงเองสูงหรือกางเอง คู่กับเชิร์ตแขนยาวเข้ารูปก็ได้นะคะ เดี๋ยวนี้เค้ามีเสื้อเชิร์ตแบบเก๋ ๆ มีลูกเล่นที่คอเสื้อแปลก ๆ ให้เราเลือกมากมายเลยล่ะค่ะ เลือกใส่รองเท้าส้นสูง(จะเป็นส้นตันหรือส้นเข็ม)จะเหมาะมากเลยค่ะ